ในการรีวิวการใช้งานเครื่องบด Mythos 2 ครั้งที่แล้วเราก็ได้รู้แล้วว่าหากเราตั้งเวลาที่ใช้ในการบดที่แตกต่างกัน ที่ความเร็วรอบในการบดที่แตกต่างกัน จะได้ปริมาณผงกาแฟที่บดออกมาใกล้เคียงกัน หรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง สำหรับใครที่ยังไม่ได้ติดตามอ่านกัน สามารถเข้าดูได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ
และวันนี้ที่เราจะทำการรีวิวกันต่อในส่วนของ Part 2 เป็นเรื่องของความเสถียรของน้ำหนักผงกาแฟ ที่ใช้ความเร็วรอบและระยะเวลาที่แตกต่างกันค่ะ
Part 2 : ความเสถียรของน้ำหนักผงกาแฟ ที่ใช้ความเร็วรอบและระยะเวลาที่แตกต่างกัน
Part 3 : ความเร็วรอบที่แตกต่างกันมีผลต่อรสชาติของกาแฟอย่างไร
Part 4 : ความเร็วรอบที่แตกต่างกันจะมีผลต่อระยะเวลาในสกัดกาแฟอย่างไร
ในส่วนนี้ เราจะมาทดสอบความแม่นยำของเครื่องบด Mythos II กันค่ะว่าน้ำหนักของผงกาแฟที่บดออกมาแต่ละครั้งจะมีความเสถียรและมีความใกล้เคียงกันหรือไม่ เราก็ได้ทำการทดลองเพื่อไขความสงสัยในข้อนี้กันค่ะ
เราจึงทำการทดลองบดเมล็ดกาแฟ โดยใช้เมล็ดกาแฟอาราบิก้า คั่วระดับกลาง ทำการบดเมล็ดกาแฟที่ความเร็วรอบ 800 1000 และ 1,200 รอบต่อนาที และเวลาต่างที่กัน ได้แก่ 3 5 และ 7 วินาที
หลังจากทำการทดลองแล้ว จะนำผลลัพธ์ที่ได้มาบันทึกผล และนำมาคำนวณค่าเฉลี่ยของน้ำหนัก และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อแสดงการกระจายตัวของข้อมูลที่บันทึกค่าน้ำหนักจากการทดสอบ
โดยการคำนวณค่าเฉลี่ย หาได้จาก
โดยค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาได้จาก
ซึ่งเมื่อเราคำนวณได้ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักผงกาแฟออกมาแล้ว จะทำให้เราสามารถคาดคะเนได้ว่า ในการบดกาแฟที่ความเร็วรอบและระยะเวลาในการบดต่างๆ มีความเสถียรของผงกาแฟมากหรือน้อยเพียงใด เช่น การบดโดยใช้ค่าความเร็วรอบ 800 RPM ระยะเวลา 2 วินาที ค่าเฉลี่ยน้ำหนักผงกาแฟ คือ 5 กรัม แต่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.25 หมายถึง น้ำหนักผงกาแฟที่บดออกมา โดยความเร็วรอบและระยะเวลาที่ตั้งค่าไว้ จะบดออกมาได้น้ำหนักประมาณ 4.75 - 5.25 กรัม
ตารางที่ 1 น้ำหนักของผงกาแฟบดที่ความเร็วรอบในการบด และระยะเวลาในการบดที่แตกต่างกัน
จากตารางที่ 1 จะแสดงน้ำหนักของผงกาแฟบดที่ความเร็วรอบในการบด และระยะเวลาในการบดที่แตกต่างกัน โดยเราทำการบดกาแฟทั้งหมดรูปแบบละ 5 ครั้ง เพื่อนำน้ำหนักที่วัดได้แต่ละครั้ง มาหาค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักผงกาแฟ เราจะนำข้อมูลที่ได้จากการบันทึก และคำนวณผลไปแสดงค่าในรูปแบบของกราฟเส้น เพื่อแสดงข้อมูลให้เข้าใจง่ายขึ้น ซึ่งจะแสดงในกราฟที่ 1, กราฟที่ 2 และกราฟที่ 3 ซึ่งจะแสดงน้ำหนักของผงกาแฟที่บดด้วยความเร็วรอบ 800 1,000 และ 1,200 รอบต่อนาที และระยะเวลาในการบด 3 5 และ 7 วินาที
กราฟที่ 1 แสดงน้ำหนักของผงกาแฟที่บดด้วยความเร็ว 800 RPM โดยใช้ระยะเวลา 3, 5 และ 7 วินาที
พบว่า เมื่อบดด้วยความเร็วรอบที่ประมาณ 800 รอบต่อนาที เมื่อใช้ระยะเวลาในการบด 3 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 5.56 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักที่บดซ้ำ 5 ครั้ง คือ 0.26 , ต่อไปทำการบดระยะเวลา 5 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 9.32 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักผงกาแฟที่บด 0.41 และระยะเวลาในการบด 7 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟ 13.26 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.22
กราฟที่ 2 แสดงน้ำหนักของผงกาแฟที่บดด้วยความเร็ว 1,000 RPM โดยใช้ระยะเวลา 3, 5 และ 7 วินาที
พบว่า เมื่อบดด้วยความเร็วรอบที่ประมาณ 1,000 รอบต่อนาที เมื่อใช้ระยะเวลาในการบด 3 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 7.06 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักที่บดซ้ำ 5 ครั้ง คือ 0.11 , ต่อไปทำการบดระยะเวลา 5 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 13.06 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักผงกาแฟที่บด 0.40 และระยะเวลาในการบด 7 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟ 18.52 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.65
กราฟที่ 3 แสดงน้ำหนักของผงกาแฟที่บดด้วยความเร็ว 1,200 RPM โดยใช้ระยะเวลา 3, 5 และ 7 วินาที
พบว่า เมื่อบดด้วยความเร็วรอบที่ประมาณ 1,200 รอบต่อนาที เมื่อใช้ระยะเวลาในการบด 3 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 9.04 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักที่บดซ้ำ 5 ครั้ง คือ 0.11 , ต่อไปทำการบดระยะเวลา 5 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟประมาณ 16.54 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของน้ำหนักผงกาแฟที่บด 0.29 และระยะเวลาในการบด 7 วินาที มีค่าเฉลี่ยของน้ำหนักผงกาแฟ 23.98 กรัม มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.19
จากการทดสอบสรุปได้ว่า ในการบดแต่ละรูปแบบจะมีค่าเบี่ยงเบนต่ำสุด 0.11 กรัม และสูงสุด 0.65 กรัม หมายถึง ในการบดแต่ละครั้งจะมีการเบี่ยงเบนของน้ำหนักของผงกาแฟไม่เกิน 1.3 กรัม ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีความแม่นยำสูง เนื่องจาก Simonelli มีปรับปรุงและพัฒนาบริเวณ Chamber ในส่วนของจุดมีการลำเลียงเมล็ดกาแฟมายังเฟืองบด โดยออกแบบเป็นแบบก้นหอย ทำให้มีจำนวนเมล็ดกาแฟเดินทางมายังเฟืองบดแบบสม่ำเสมอ เป็นผลทำให้การบดเมล็ดกาแฟในแต่ละครั้งค่อนข้างมีน้ำหนักของผงกาแฟที่ออกมาค่อนข้างเสถียร และมีน้ำหนักที่ใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ยังทำให้ผู้ใช้งานไม่จำเป็นจะต้องเทเมล็ดกาแฟใส่ไว้ใน Hopper ในปริมาณมาก ทำให้เมล็ดกาแฟของเราไม่เสื่อมเสียกลิ่นรส หรือรสชาติที่เร็วเกินไป ทำให้เราเสิร์ฟกาแฟที่สดใหม่ และมีคุณภาพแก่ลูกค้าอยู่เสมอ