How to Understand the Label on Your Bag of Roasted Coffee

มาทำความรู้จักและทำความเข้าใจถึงข้อมูลบนถุงกาแฟของคุณกันเถอะ

หากคุณต้องการซื้อเมล็ดกาแฟคั่วสักถุงไว้สำหรับทำกาแฟดื่มเองที่บ้าน แต่การซื้อกาแฟ อาจกลายเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของข้อมูลบนฉลากที่ช่างมากมายเสียเหลือเกิน อย่างเช่น เมื่อคุณได้ Yirgacheffe 1 Organic Natural Bekele Dukale จาก Ethiopia กับ Yirgacheffe 1 Organic Natural Daniel Miju จาก Ethiopia ซึ่งคุณเองจะเริ่มแปลกใจว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกาแฟสองชนิดนี้ และบางครั้งอาจสำคัญอย่างยิ่งที่คุณควรจะต้องรู้ว่าชนิดใดคือกาแฟที่คุณชอบกันแน่

       

แต่ไม่ต้องกลัวไป เพราะว่าเรามีตัวช่วยให้คุณ ด้วยคู่มือฉบับที่เรียกได้ว่าครอบคลุมเกี่ยวกับเรื่องของฉลากข้อมูลบนถุงกาแฟ ตั้งแต่สายพันธุ์ ไปจนถึงกระบวนการ การผสม และระดับการคั่ว เราได้รวบรวมทั้งหมดไว้ในนี้แล้ว เพียงแค่คุณลองอ่านดูแล้วคุณก็จะพบกับวิธีการซื้อการแฟที่ดีที่สุดตามความชอบของคุณ

------

กาแฟ Blend กับ กาแฟ Single origin

กาแฟ “Single origin” นั้นมาจากภูมิภาคที่เฉพาะเจาะจง (Single region) หรือมากจากไร่ที่เลือกมาโดยเฉพาะ(Single farm) (ซึ่งบางครั้งเราเอาจเรียกว่า “single estate”) ในขณะที่การแฟ Blend นั้นเป็นการเฟที่เกิดจากส่วนผสมระหว่างกาแฟหลากหลายชนิดเข้าด้วยกัน ซึ่งคุณจะได้รับเป็นแบบ Micro lots ซึ่งมาจากส่วนเล็กๆในฟาร์มเฉพาะที่

แต่ว่าทำไมเราถึงต้องแยกกาแฟในลักษณะนี้ก็เพราะว่า กาแฟแต่ละชนิด มีผลลัพธ์ที่ขึ้นอยู่กับสถานที่และวิธีการปลูก อย่างเช่น เราจะเห็นได้ว่า ในแต่ละประเทศและภูมิภาคนั้น การปลูกและกระบวนการต่างๆที่ใช้กับกาแฟแต่ละพันธุ์นั้น และยิ่งไปกว่านั้นคือ กลิ่นและรสสัมผัสของกาแฟในแต่ละครั้งที่คุณดื่มนั่นเอง

กาแฟ Single origin มีแนวโน้มที่จะเป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง ด้วยกลิ่นและรสสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ ในแบบฉบับที่ Roasters ไม่ต้องการให้เกิดการปะปนในเรื่องของรสสัมผัสหรือกลิ่นจากการผสมด้วยเมล็ดอื่นๆ

ในส่วนของกาแฟ Blend นั้น เกิดขึ้นเมื่อ Rosters คิดว่ากาแฟสองชนิดหากนำมารวมกันอาจทำให้เราได้ลิ้มรสชาติของกาแฟที่ดียิ่งขึ้นมากกว่าการบริโภคกาแฟทั้งสองชนิดนั้นแยกกัน ในบางครั้งอาจมีความ Light, Fruity ตามแบบฉบับของกาแฟ Ethiopian แต่คิดว่า  มันอาจจะยังต้องการส่วนเติมเต็มในตัวของกาแฟบางอย่างที่จะช่วยให้กาแฟนั้นสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น (Espresso – โดยปกติจะใช้กาแฟ Blend แต่ก็ไม่เสมอไป)

ในขณะที่กาแฟ Single origin มักได้รับการยอมรับในผู้ที่ชื่นชอบในกาแฟพิเศษมากกว่า (และแน่นอนว่ามีราคาสูงกว่า) แต่อย่างไรกาแฟทั้งสองแบบสามารถที่จะเป็นกาแฟที่ยอดเยี่ยมได้ อยากให้คุณลอง และอย่าเพิ่งปฏิเสธเพียงเพราะว่าเป็นเมล็ดกาแฟผสมจากสามประเทศ

ในขณะเดียวกันเราจะลงลึกไปถึงโลกแห่งกาแฟ Single origin โดยการทดลองกาแฟแต่ละสายพันธุ์จากแต่ละภูมิภาค เช่น หากคุณลองกาแฟ Guatemala คุณจะได้ลิ้มรส acidity, Balance, Spiced ซึ่งหากเปรียบเทียบกับกาแฟ Rwanda ก็จะได้รสชาติที่Sweet และมี bodied ที่ดี และต่อจากนั้นลองชิมกาแฟสองชนิดที่ต่างภูมิภาคของกาแฟ Colombia อย่างเช่น Nariño และ Santander ดู แล้วลองทำความรู้จักกับแหล่งเพาะปลูกกาแฟ และคุณสมบัติของกาแฟที่คุณรักดูสิ

                   

แต่ขอให้จำไว้ว่า เพียงแค่เพราะประเทศก็ทำให้มีแนวโน้มที่กาแฟจะมีคุณสมบัติเฉพาะของตัวเองได้แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ากาแฟทั้งหมดจะเป็นไปในลักษณะนั้น ลองเปิดใจให้กับกาแฟดูสิ

 

ระดับของการคั่ว

ระดับของการคั่วนั้นมีชื่อเรียกที่ต่างกันอย่างมากมาย เช่น  Light, Medium, Dark, Vienna, Citi Plus, Filter, Blonde เป็นต้น

แต่สิ่งที่คุณควรที่จะจำไว้เลยก็คือการคั่วคือกระบวนการที่พัฒนาทั้งรสสัมผัสและกลิ่นหอมในตัวเมล็ดกาแฟแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ถ้า Rosters ใช้เวลาในการคั่วที่นานเกินไป มันจะก่อให้เกิดรสสัมผัสอื่นที่เข้ามากลบลักษณะเฉพาะของตัวกาแฟเองไปจนหมด ซึ่งหากเราคั่วต่ำกว่าระดับมาตรฐานเมล็ดจะมีความ Grassy และ Sour และที่ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหากเราคั่วเกินกว่าระดับมาตรฐาน เมล็ดจะมีความ Bitter, Smoky และ unpleasant

ในขณะที่ผู้ที่รักในกาแฟพิเศษนั้นมีแนวโน้มที่จะเลือกระดับการคั่วที่ไม่เข้มมาก ซึ่งจริงๆแล้วระดับการคั่วที่ดีนั้นขึ้นอยู่กับตัวเมล็ดกาแฟ, กระบวนการชงกาแฟ และแน่นอน เรื่องระดับการดื่ม มาลองดูกันว่าทำไม

Light Roasts – อาจเรียกอีกชื่อว่า Cinnamon, Blonde, และ City, ขณะที่ City Plus โดยทั่วๆไปจะเป็น Light – medium roast

เหล่านี้เป็นที่รู้จักกันในการเป็นตัวเน้นรสสัมผัสและกลิ่นหอมของความ Fruity และ acidic ซึ่งทำให้เหมาะสมที่จะเป็นการแฟที่มีคุณลักษณะพิเศษเฉพาะตัว แต่บางคนค้านว่า Light roasts มีความหวานที่น้อย แต่นั่นไม่เป็นความจริงเสมอไป นับตั้งแต่ กาแฟพิเศษที่มีคุณภาพสูงได้รับการยกย่องในความมีคุณสมบัติที่ซับซ้อน Roasters หลายคนเลือกการคั่วแบบ Light หรือ Medium Light ในการเน้นเรื่องนี้

Dark Roasts – อาจเรียกอีกชื่อว่า Vienna หรือ Light French ขณะที่ Full French และ Italian หมายถึง very dark roasts
เมื่อคุณดื่ม Dark roasts คุสามารถคาดเดาถึงรสชาติของกระบวนการคั่วได้ด้วยตัวของมันเอง ลองคิดถึงรสสัมผัสหรือกลิ่นแบบ Toasty, Bitter notes และ Full body

สำหรับ Dark roasts อาจมีชื่อเสียงในทางไม่ค่อยดีนักสำหรับนักดื่มกาแฟพิเศษ และบางครั้งก็ถูกใช้เป็นสิ่งที่ปกปิดรสชาติที่แย่ๆของกาแฟ

Medium Roasts – อาจเรียกอีกชื่อได้ว่า Full City ในขณะที่เมื่อเริ่มมี Dark medium roasts เล็กน้อยมักจะเรียกว่า Full City Plus

ทำไมเราถึงจัดให้ Medium light และ Medium dark รวมเข้าไปอยู่ในกลุ่มระดับการคั่วกลางก็เพราะว่าการคั่วแบบ Medium นั้นมีวิธีที่ใช้ในการระบุว่าอะไรคือ Medium หรือไม่ใช่ เพราะมันไม่ใช่ทั้ง Light และ Dark แต่มันมีความสมดุล (Balance) ความนุ่มละมุน (Smoothness) และรวมถึงยังมีองค์ประกอบที่ได้จากกระบวนการคั่วกาแฟที่ไม่ได้เป็นการทำลายรสสัมผัสที่ดีที่เป็นธรรมชาติของกาแฟเลย

Espresso, Filter, and Omni Roasts

โดยทั่วๆไปแล้ว Espresso จะเป็นการคั่วในระดับที่ค่อนข้างจะเข้ม ในส่วนของ Filter มีความเข้มน้อยกว่าเล็กน้อย (และนี่คือข้อแตกต่างว่าอย่างไรคือ คั่วแบบเข้มและอย่างไรคือคั่วแบบอ่อน) ในทางตรงกันข้าม Omni จะเป็นการคั่วที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับทั้ง Filter และ Espresso

แต่ว่าทำไม Filter และ Espresso จึงแตกต่างกัน ก็เพราะว่า Espresso คือกระบวนการชงที่เข้มข้นซึ่งจะได้ความหวานในตัว และกาแฟเองก็จะมี Bodied ที่เต็มมากว่า ในขณะที่ Filter อย่างที่เราทราบกันดีว่าจะมีความซับซ้อนมากกว่า

 

กระบวนการแปรรูป

กาแฟนั้นจริงๆแล้วไม่ใช่ถั่ว แต่เป็นเมล็ดของผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งดยปกติเราจะเรียกผลไม้ที่มีลักษณะของผลเมื่อสุกแล้วมีสีแดงแบบนี้ว่า “ผลเชอร์รี่” แต่ก็เป็นการยากสำหรับการเอาเนื้อเยื่อที่เหนียวมากของผลไม้ชนิดนี้ออกได้ทั้งหมด ซึ่งนั่นหมายความว่าอาจมีความจำเป็นที่จะต้องใช้กระบวนการทางเครื่องจักรกล หรือแม้แต่กระบวนการหมัก มาช่วยในกระบวนการแปรรูปด้วย เราเรียกกระบวนการนี้ว่าการแปรรูปกาแฟ และกระบวนการแปรรูปนั้นก็จะมีผลต่อกลิ่นและรสสัมผัสของกาแฟด้วยเช่นเดียวกัน และนี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงต้องมีชื่อกระบวนการเหล่านี้แสดงอยู่เป้นข้อมูลบนถุงกาแฟ

  • Wet / Washed : เนื้อเชอร์รี่จะถูกนำออกโดยการล้างน้ำและขัดเมือกที่กาแฟออกให้หมด และนำไปทำให้แห้งโดยการตาก วิธีการนี้จะเพิ่มรสชาติบางอย่างให้กับกาแฟ นั่นหมายความว่าคุณจะได้รับรสของกาแฟในแบบที่เป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง

          

  • Dry / Natural : ด้วยวิธีนี้ กาแฟจะค่อยๆแห้งอย่างช้าๆ โดยการตากแดดทั้งที่ยังเป็นผลเชอร์รี่อยู่ วิธีการนี้จะทำให้เกิดรสหวาน และมีรสของผลไม้อยู่ในตัวกาแฟ แต่ถ้าทำวิธีนี้ได้ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้กาแฟมีคุณภาพต่ำ และไม่คงที่ แต่อย่างไรก็ดี ถ้าทำวิธีนี้อย่างสมบูรณ์ผลที่ได้จะได้รสชาติที่ดีมาก อีกทั้งยังเป็นกระบวนการที่เป้นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

           

  • Honey & Pulped Natural : กาแฟเหล่านี้จะถูกทำให้แห้งโดยมีจำนวนของเนื้อเยื่อ หรือเมือกของผลเชอร์รี่ที่แทรกอยู่ในเมล็ดในจำนวนที่แตกต่างกันออกไป การที่มีเนื้อเยื่อหรือเมือกของกาแฟที่ยังหลงเหลือแทรกอยู่กับตัวเมล็ดมาก ก็จะยิ่งทำให้ Body ของกาแฟมีความหวานมากขึ้นเช่นกัน

           10

อย่างไรก็ตามวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าใจเรื่องความแตกต่างของกระบวนการแปรรูปนั้น คือการทดลองชิมกาแฟจากแต่ละกระบวนการแปรรูปดู โดยการลองชิมกาแฟ Wash process และ Natural process จากในภูมิภาคเดียวกัน หรือแม้แต่ในไร่เดียวกันแล้วลองสังเกตด้วยตัวคุณเองว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างกาแฟแต่ละแก้วที่คุณดื่ม

 

สายพันธุ์และชนิดของกาแฟ

ไม่ใช่ทุกกาแฟที่จะเหมือนกัน และมันยังไม่ได้มีรสชาติที่เหมือนกันอีกด้วย ทั้งสายพันธุ์และชนิดยังมีส่วนสำคัญในการส่งผลต่อรสสัมผัสในแต่ละแก้วด้วยเช่นเดียวกัน เราลองมาดูกันเถอะ

กาแฟพิเศษส่วนใหญ่มักจะเป็นกาแฟอาราบิก้า ซึ่งเป็นที่รู้กันดีในเรื่องของกลิ่น และรสสัมผัสที่ดีเยี่ยมของกาแฟสายพันธุ์นี้ ส่วนโรบัสต้า เป็นอีกชื่อเรียกของกาแฟอีกหนึ่งสายพันธุ์ ซึ่งมีรสชาติที่แรงขึ้นและยังมีคาเฟอีกมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้คุณอาจจะพบเจอสายพันธ์อีกสายพันธุ์หนึ่งที่พบเจอได้น้อยกว่าสายพันธุ์ทั่วไป อย่างเช่น รีเบอร์ริก้า (Liberica)

สำหรับชนิดของกาแฟนั้นมีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Caturra, Catuaí, Bourbon, Typica, Geisha/Gesha, Pacamara, Maragogype และอื่นๆอีกหลายชนิด โดยลักษณะของ Bourbon ค่อนข้างที่จะมีความหวาน Geisha/Gesha จะมีรสที่ค่อนข้างจะอ่อนกว่า มี Body เหมือนชา กลิ่นคล้ายดอกมะลิ แล้วมีรสสัมผัสที่ซับซ้อน เป็นต้น

ถ้าครั้งหนึ่งคุณเคยได้ลิ้มรสของกาแฟที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปที่ต่างกันจากกาแฟในแก้วของคุณแล้วนั้น ก็ถึงเวลาที่คุณควรจะเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของสายพันธุ์กาแฟด้วย เช่น ลอง Bourbon Wash process และ Caturra จาก El Savador จากนั้นลองเทียบกับ Bourbon Natural process จาก Rwanda ดู เป็นต้น ความสวยงามของกาแฟพิเศษเหล่านี้ก็คือ ความมีเอกลักษณ์ของแต่ละกาแฟที่แท้จริง ซึ่งมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อรสสัมผัสของกาแฟในแก้ว แต่เราในฐานะผู้บริโภคก็เพียงแค่ซึมซับรสชาติและสนุกไปกับกาแฟทั้งหลายก็พอ

 

ระดับความสูงและระดับความสูงจากน้ำทะเล

บนถุงกาแฟบางถุง คุณอาจจะเห็นข้อมูลเรื่องของระดับความสูง โดยปกติจะอิงจากระดับความสูงจากน้ำทะเล ซึ่งโดยปกติแล้วกาแฟจะปลูกกันอยู่ที่ระดับ 1 เมตร เหนือระดับทะเลปานกลาง (Metres above sea level : M.A.S.L)

เหตุผลที่เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ก็เพราะว่ากาแฟจะเติบโตอย่างช้าๆ ซึ่งโดยปกติแล้วการให้เวลาการเจริญเติบโตของกาแฟที่มากขึ้นนั้นทำให้กาแฟระดับน้ำตาลที่เกิดขึ้นในผลกาแฟได้ถูกพัฒนามากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นความหวานที่มากขึ้น และเป็นกาแฟที่มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้นในเชิงของรสสัมผัสที่ได้

เมื่อเราเปรียบเทียบสองไร่กาแฟในภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งที่หนึ่งปลูกในระดับที่สูงกว่าระดับทะเลปานกลางมากกว่า ซึ่งมีสภาพอากาศที่เย็นกว่า สำหรับเหตุผลของเรื่องนี้ก็คือ ระดับความสูงที่สูงขึ้นจากระดับทะเลปานกลางมากเท่าไหร่ จะหมายถึงกาแฟที่มีคุณภาพสูงกว่า แต่ข้อควรระวังคือ จะมีเทคนิคง่ายๆคือ ควรจำไว้ว่า ในระดับ 1,100 เมตรเหนือระดับทะเลปานกลาง จะมีสภาพอากาศที่เย็นในประเทศบราซิลมากกว่าในประเทศเอกวาดอร์ เป็นต้น

ซึ่งเราควรให้ความสนใจในเรื่องของผลกระทบจากระดับน้ำทะเลปัจจุบัน, ทิศทางของลม และอื่นๆ อย่างเช่นที่เกาะ กาลาปากอส ที่อยู่บริเวณแถบเส้นศูนย์สูตร แต่สูงเพียงแค่ 200 เมตรจากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสภาพอากาศที่ค่อนข้างเย็นจะสร้างกาแฟที่มีรสชาติที่ดีเยี่ยม

สำหรับเรื่องของระดับน้ำทะเลนั้น เมื่อเราเข้าใจถึงเนื้อหาแล้วนับว่าเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์มาก ซึ่งสามารถนำไว้ใช้สำหรับการเปรียบเทียบกาแฟสองชนิดจากภูมิภาคเดียวกัน แต่อย่าเพิ่งมองข้ามกาแฟที่อยู่ในระดับความสูงที่น้อยกว่า จนกว่าคุณจะได้ลิ้มลองมันด้วยตัวคุณเอง บางทีมันอาจสร้างเรื่องน่าแปลกใจให้กับคุณเองก็เป็นได้

 

Fairtrade, Direct Trade, และองค์กร Rainforest Alliance

ในวงการกาแฟมีการรับรองเกี่ยวกับเรื่องความยั่งยืนอย่างมากมายซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะรู้ว่าความหมายจริงๆของแต่ละอย่างนั้นหมายถึงอะไร

เริ่มต้นจากที่เป็นที่นิยมมากที่สุด คือ Fairtrade หรือ Fair Trade หรือการค้าที่เป็นธรรม นั่นหมายถึงผลิตภัณฑ์จากกาแฟที่ถูกซื้อขายกันในจำนวนเงินที่แน่นอนเหนือระดับราคากาแฟสากล อย่างไรก็ตามนั่นไม่มีความจำเป็นที่จะนำไปเทียบกับค่าจ้าง

UTZ Certified หมายถึงการที่ UTZ ให้การสนับสนุนเรื่องการฝึกอบรมสำหรับผู้ผลิตกาแฟในเรื่องของวิธีการทำไรกาแฟที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นการออกแบบเพื่อเพิ่มทั้งในด้านของคุณภาพและผลลัพธ์ที่ออกมา ซึ่ง UTZ กล่าวว่าชาวไร่กาแฟของเขานั้นได้รับรายได้ที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังมี Direct Trade นี่คือโมเดลของการค้าขายที่แท้จริง มากกว่าการที่จะเป็นรูปแบบของการรับรอง อย่างไรก็ดี Roasters หลายๆคนใช้โมเดลนี้ในการที่จะบอกคุณว่าเป็นการปรับปรุงให้ดีขึ้น อย่างยั่งยืน ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับการที่ Roaster ซื้อกาแฟโดยตรงการเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ กาแฟเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกาแฟที่โดยปกติได้รับการยกเว้นเรื่องคุณภาพ และRoasters หลายคนร่วมกับผู้ผลิตกาแฟในการให้การตอบรับและการสนับสนุนในการปรับปรุงกาแฟให้ดีขึ้น

Roasters ส่วนมากจะจ่ายเงินในราคาที่สูงกว่าราคากาแฟสากล และโดยส่วนมากก็จะสูงกว่าราคาของ UTZ หรือ มากกว่าที่เกษตกรได้รับจากการขายในตลาดเองเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์การค้ารูปแบบนี้ว่าไม่มีการควบคุม อีกทั้งบางครั้งเหมือนเป็นเรื่องของการตลาดเสียมากกว่า

Rainforest Alliance หมายถึงการที่กาแฟถูกปลูกในสภาพภูมิอากศที่ดี, ในวิธีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม, มีความเสียหายต่อป่าไม้และแหล่งน้ำน้อยที่สุด เช่นเดียวกันกับ Bird Friendly คือ กาแฟออร์แกนิคที่ปลูกด้วยวิธีที่สนับสนุนต่อการเจริญเติบโตของป่าในพื้นที่นั้นๆ และผลที่ตามมาก็คือเป็นการช่วยให้สัตว์ป่าในท้องถิ่นนั้นๆเจริญเติบโต

Cup of Excellence, Good Food Awards

เรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการรับรองความยั่งยืนซึ่งเอาไว้ติดบนฉลากกาแฟของคุณเท่านั้น แต่คุณยังสามารถได้รับรางวัลคุณภาพของกาแฟได้อีกด้วย

Cup of Excellence เป็นรางวัลสำหรับการวัดคุณภาพของเมล็ดกาแฟที่ส่งโดยผู้ผลิตกาแฟ ซึ่งนั่นหมายถึงไม่ได้สนใจในปัจจัยการคั่ว และโรงคั่วหลายๆแห่งอาจเสนอกาแฟเฉพาะอย่างได้

ในประเทศผู้ผลิตกาแฟหลายๆประเทศมีรางวัล Cup of Excellence เป็นของตัวเอง และคุณอาจพบเจอกาแฟที่ชนะรางวัล Cup of Excellence หรือไร่กาแฟที่ชนะรางวัล Cup of Excellence อย่าง Costa Rica COE #2 2017 ที่บลูคอฟเราได้นำเข้ามา ซึ่งนอกจากนี้คุณอาจจะเห็นรางวัลที่เป็นเฉพาะด้านอื่นๆอีก เช่น Best of Panama และ Coffee of the Year Brazil เป็นต้น

แต่ในอีกด้านหนึ่ง รางวัล Good Food Award เป็นรางวัลที่ US-centric ให้รางวัลแก่กาแฟที่คั่วแล้ว หรือในอีกความหมายหนึ่งคือ เฉพาะการเสนอที่พิเศษจากโรงคั่วเฉพาะที่เท่านั้นที่จะสามารถได้ติดป้ายผู้ชนะรางวัล Good Food Award

และแน่นอนว่ามีรางวัลเกี่ยวกับคุณภาพของกาแฟอีกมากมาย แต่สองรางวัลที่กล่าวถึงซึ่งค่อนข้างมีชื่อเสียงในวงการกาแฟ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างทั้งสองรางวัลคือ รางวัลหนึ่งเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองกับการแฟที่ผ่านการคั่วแล้ว และอีกรางวัลหนึ่งเป็นการเฉลิมฉลองให้กับเมล็ดกาแฟดิบนั่นเอง

ยังมีข้อมูลอีกมากมายที่ใส่ไว้ในฉลากบนถุงกาแฟเล็กๆนี้ บางครั้งเรารู้สึกได้ถึงข้อมูลอันล้นหลาม แต่อย่าลืมว่ามันมีเพื่อช่วยให้คุณเลือกกาแฟที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ไปเถอะออกไปใช้เวลากับการเปรียบเทียบกระบวนการแปรรูปกาแฟ แหล่งผลิต และสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากบาริสต้า แล้วลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ประสบการณ์ใหม่ๆซึ่งคุณอาจจะชอบมันก็ได้ ใครจะไปรู้.

 

Credit: Perfect Daily Grind
บทความคัดย่อมาจาก:  How to Understand The Label on Your Bag of Roasted Coffee


"This article has been translated by Bluekoff with the permission of PDG. This has not been translated by PDG authors"